เปิดยุทธศาสตร์ความเสมอภาคทางสังคม เดินหน้า 4 ประเด็นสำคัญ ชี้นโยบายช่วยเหลือคนจน รัฐเดินมาถูกทาง
เปิดยุทธศาสตร์ความเสมอภาคทางสังคม เดินหน้า 4 ประเด็นสำคัญ
ชี้นโยบายช่วยเหลือคนจน รัฐเดินมาถูกทาง
แนะสืบต่อแผนสนับสนุนคนจนเข้าถึงบริการภาครัฐ และช่วยภาคเกษตรมีรายได้เพิ่ม
คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาค
วางกรอบ 20 ปี เดินหน้า 4 ประเด็นสำคัญ ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทุกมิติ
กระจายความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม, เสริมสร้างพลังทางสังคม
และเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่น ชี้แนวนโยบายช่วยเหลือคนจนรัฐเดินมาถูกทาง
แนะรัฐบาลใหม่สานต่อโครงการเพิ่มโอกาสคนจนเข้าถึงบริการสาธารณสุข บริการในกระบวนการยุติธรรม
และสานต่อช่วยเหลือภาคเกษตรรวมตัวเป็นเอสเอ็มอีการเกษตร
เดินบนฐานชีวภาพเป็นเกษตรปลอดภัยให้มีรายได้เพิ่ม
นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ ประธานกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและ
ความเสมอภาคทางสังคม กล่าวว่า คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม
มองร่วมกันว่าทำอย่างไรจะพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น ลดปัญหาที่เกิดขึ้นลดความเหลื่อมล้ำให้ได้มากที่สุด
หากย้อนไปดูข้อมูลสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
เศรษฐกิจก้าวหน้าแต่ถ้าสังคมมีปัญหาการพัฒนาจะไม่ยั่งยืน ซึ่งก็เป็นความจริง
จากตัวเลขการจัดชั้นเรื่องความเหลื่อมล้ำระดับโลกในปี 2558
อันดับความเหลื่อมล้ำไทยอยู่ที่อันดับ 11 ต่อมาในปี 2559 ไทยเลื่อนขั้นเร็วมากขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ภายในปีเดียว
จะเห็นว่าเรามีปัญหาเรื่องนี้ชัดเจน เรื่องการเข้าถึงทรัพยากรก็เช่นกัน คนไทยมากกว่า
3 ใน 4 ไม่เป็นเจ้าของที่ดินอะไรเลย
มาดูในด้านเศรษฐกิจเราเก่งมากจากตัวเลขระดับโลก เรามีมหาเศรษฐีร่ำรวยระดับพันล้าน
5 คนในปี 2551 ต่อมาในปี 2558 เรามี 28 คน มันสะท้อนชัดเจนว่าเรารวยขึ้นแต่ยังเป็นปัญหา
แต่ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ถ้าร่วมมือกัน
คณะกรรมการฯ จึงได้ตั้งประเด็นการพัฒนาความเสมอภาคทางสังคมไว้
4 ประเด็น 1.ต้องลดความเหลื่อมล้ำสร้างความเป็นธรรมในทุกมิติ
โดยพัฒนาการเกษตรให้เหมาะกับศักยภาพของเกษตรกร, กระจายการถือครองทรัพย์สิน
โดยจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง,การเพิ่มศักยภาพแรงงานไทย,
พัฒนาระบบประกันสุขภาพให้เข้าถึงผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาส
ในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและกระบวนการยุติธรรม 2.ต้องกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม
โดยกำหนดจังหวัดหลักที่จะเป็นศูนย์กลางความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคม
ซึ่งจะต้องคำนึงถึงจำนวนประชากรของจังหวัดบริวารและจังหวัดหลักประมาณ 4-5 ล้านคนต่อกลุ่มจังหวัด,
จัดระบบเมืองให้เอื้อต่อการสร้างชีวิตและสังคมที่มีคุณภาพและปลอดภัย 3.ต้องเสริมสร้างพลังทางสังคม โดยสร้างสังคมเข้มแข็งที่แบ่งปัน
ไม่ทอดทิ้งกัน การเตรียมรองรับสังคมสูงวัย
โดยพัฒนาระบบสนับสนุนการปรับตัวของแรงงานวัย 40 ปีขึ้นไป
ให้สามารถปรับเปลี่ยนอาชีพให้เหมาะสมในยามสูงอายุ
และส่งเสริมความเสมอภาคและบทบาทสตรีในสังคม 4.ต้องเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนท้องถิ่นในการพัฒนา
การพึ่งตนเอง และการจัดการตนเอง ซึ่งภายใน 20
ปีข้างหน้าต้องทำให้ได้ โดยมีตัวชี้วัดว่าอันดับแรก 10
คนจนกับ 10 คนรวยที่แตกต่างกัน 22
เท่าตั้งเป้าให้ลดลงไม่เกิน 15 เท่า ทำอย่างไรให้คนจนพัฒนาขึ้น
มุ่งไปที่กลุ่มเป้าหมายเกษตรกรและแรงงาน เมื่อรัฐบาลขึ้นทะเบียนคนจนพบว่า 80% ของผู้มาลงทะเบียนคือเกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน จึงต้องเน้นไปที่กลุ่มนี้ สิ่งที่รัฐดำเนินการมาถูกทางแล้วแต่ต้องทำต่อเนื่อง
เมื่อรัฐบาลใหม่มาก็ต้องทำต่อเนื่องช่วยเหลือภาคเกษตร ทำอย่างไรให้รวมตัวกันเป็นเอสเอ็มอีการเกษตร
เดินบนฐานชีวภาพเป็นเกษตรปลอดภัย เป็นเกษตรสุขภาพ ซึ่งจะทำให้มีรายได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ต้องทำให้คนจนมีโอกาสเข้าถึงบริการสาธารณสุข และบริการในกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น
ส่วนแรงงานในระบบอายุ 45-50 ก็เริ่มเป็นกลุ่มที่กำลังจะถูกเลิกจ้างจึงต้องเตรียมความพร้อมฝึกอาชีพเตรียมตัวไว้ก่อนให้มีงานรองรับ
จุดนี้ภาคเกษตรสามารถรองรับได้ แต่ต้องเตรียมตัวให้พร้อม นอกจากนี้รัฐต้องกระจายความเจริญให้ทั่วถึง
ถ้าปล่อยให้แหล่งงานมีเฉพาะกรุงเทพฯกับเมืองใหญ่ ทำให้แรงงานวิ่งเข้าเมืองใหญ่ รัฐบาลมีหน้าที่ต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
ทำอย่างไรให้แต่ละจังหวัดมีอาชีพรองรับ สามารถวิ่งไปทำงานและกลับมาดูแลลูกได้
เรื่องสตรีก็เช่นกัน สตรีต้องมีบทบาทมากขึ้นในด้านแรงงานเพราะมีศักยภาพดูแลละเอียดอ่อน
ในองค์กรท้องถิ่นอย่างอบต.และวงการเมืองผู้หญิงยังมีโอกาสน้อยมาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น